หว่านพืชใดได้ผลนั้น
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์เช้า วันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๔๒
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
หว่านพืชอย่างใดมันได้ผลอย่างนั้น หว่านพืชไง การหว่านพืช การแสวงหา ทุกคนต้องแสวงหา แต่หว่านพืชลงไป หว่านพืชลงไป เมล็ดพันธุ์พืชสำคัญ หว่านข้าวก็ได้ข้าว ปรารถนาอะไรได้อย่างนั้น นี่เราปรารถนาอะไร? เราปรารถนาบุญกุศล เราปรารถนาที่พึ่ง หาที่พึ่ง การหาที่พึ่ง แล้วเรายังเกิดได้ที่พึ่ง เวลามันที่พึ่งเราก็เข้าใจกัน
อย่างเด็กๆ เห็นไหม เด็กๆ นี่อยากเป็นผู้ใหญ่มากเลย เห็นผู้ใหญ่ทำอะไร เด็กอยากจะทำตามมาก อยากจะพ้นจากวัยเด็กให้เป็นผู้ใหญ่ เพราะเด็กมันคิดว่าผู้ใหญ่มีความสุขมากเลย เราหวัง เราคาดหวังว่าเป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้ใหญ่ ทำไมผู้หญิงต้องไปหาเขา ดึงให้มันเป็นเด็กตลอดเวลาล่ะ นี่กลับกัน เวลาเด็กอยากเป็นผู้ใหญ่ อยากพ้นจากการบังคับ อยากจะเป็นอิสระ แต่อิสระตรงไหน มันอิสระไปไม่ได้ เพราะมันอยู่ในกฎของวัฏฏะ วัฎจักร
อย่างเช่น มนุษย์ ใครจะลาออกจากความเป็นมนุษย์ได้ เพราะเวลาเราทุกข์กัน เราอยากจะลาออกจากการเป็นมนุษย์ เราพยายามฆ่าตัวตายเพื่อพ้นจากสภาวะที่เป็นทุกข์ แล้วมันไม่จริง พ้นออกไปกลับทุกข์มหาศาลเลย พอเวลาทำร้ายตัวเองไป นึกว่าจะพ้นไปจากทุกข์ เพราะนึกเอา เห็นไหม นี่ไง พระพุทธเจ้าถึงได้บอกไง นรก สวรรค์ ทุกอย่างมีหมด นรก สวรรค์ นิพพาน มีอยู่นะ มีอยู่พร้อมเลย แล้วทำลายไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่รองรับสภาวะใจที่พอดีไง พอดีคือว่ามันบาลานซ์กัน มันเข้ากันได้ เกิดพอดี
นี่เหมือนกัน กรรมต้องเกิด แล้วเราทำร้ายตัวเอง พระพุทธเจ้าบอกเป็นกรรมมากเลย การทำร้ายตัวเองเพราะอะไร เพราะสมบัติข้างนอกเรายังหวง เห็นไหม ทีนี้สมบัติข้างใน แต่ในมุมกลับกันนะ มนุษย์เราลืมมองตนเอง ทำลายของข้างนอกมันก็ว่าทำลายของข้างนอก ทำลายคนอื่นมันก็เป็นบาปเป็นกรรม ทำลายตัวเองบาปกรรมมากกว่า แต่เวลาเราทุกข์ขึ้นมานี่เราไม่เห็นตรงนั้น เราจะทำลายตัวเราเอง
พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนตรงนั้น สอนให้ทำลายทุกข์ในหัวใจต่างหาก สอนให้ทำลายความยึดมั่นถือมั่น
เช้า สาย บ่าย เย็น วันต่อวัน เหมือนกันหมดเลย แต่ถ้าวันไหนเรามีความสุข เราจะต้องการดึงความสุขนั้นให้อยู่กับเรานานๆ ถ้าวันไหนมีความทุกข์ อยากให้มันพ้นไปเร็วๆ แต่มันกลับพ้นไปช้า เพราะความทุกข์นี้มันเข้าไป มันอยากให้พ้นไป ความกังวลมันเจาะอยู่ มันติดข้องอยู่ นี่ความข้องอยู่ พระพุทธเจ้าถึงสอนให้ทำลายตรงนี้ไง ให้ทำลายความทุกข์ในใจ ไม่ใช่ทำลายตัวเราเอง
คนเรามองไม่เห็น ตรงนี้ศาสนาพุทธเราเจริญ เรามีความสำคัญมากก็ตรงนี้ไง ตรงนี้ฆ่านามธรรม ไม่ได้ฆ่ารูปธรรม ฆ่านามธรรม นามธรรมที่ว่าทำให้เกิดรูปธรรมขึ้นมานี่ไง ฆ่านามธรรม ฆ่าความยึดมั่นถือมั่น ฆ่าสมุทัย ฆ่าตัณหาความทะยานอยาก แต่เด็กเล็กๆ มันก็ทะยานอยากตามประสามัน นี่มันทะยานอยากตามประสาของมัน แต่มันทะยานอยาก อยากจะพ้นเป็นผู้ใหญ่
แต่เราเป็นผู้ใหญ่แล้วจะพ้นไปไหน? ก็ทำลายตัวเองไปเพื่อจะพ้นไป มันพ้นไปไม่ได้ กับมหาศาลเลย เพราะตายไปปั๊บ เทียน ๑ เล่ม จุดยังไม่หมด มันต้องรอจนกว่าจะจุดหมด ถ้ามีไฟจุดหมด ภพชาติเราใช้ ๑ ภพ ๑ ชาติ นี่บุญกรรมรักษาไปจนหมดอายุขัย เทียนหมดเล่มไป แล้วเทียนมันไม่หมดเล่ม ครึ่งเล่ม ค่อนเล่ม แล้วมันดับไป เหลือเทียนตั้งเกือบเล่มหนึ่ง แล้วไม่มีไฟจุดมันน่ะ เห็นไหม กว่ามันจะสลายไป ภพชาติมันตรงนี้ไง ถ้าเราตายไป เรายังไม่หมดภพชาติ มันเป็นสัมภเวสี ไปรออยู่นี่มันทุกข์ไหม กับถ้าเทียนมันมีอีกเล่มอยู่ เทียนทั้งเล่มมันโดนไฟเผาอยู่ ไฟเผาลงไป เผาเทียนลงไป
นี่ชีวิตเรา มันต้องเกิดตายใช่ไหม จนกว่าหมดอายุขัยไป แล้วเราไปทำลายตัวเราเองก่อน เพราะต้องการมีสภาพแบบนี้ แล้วไปอยู่นั่นไม่มีไฟเผา กาลเวลาของภพมันต่างกัน ๙ ล้านปี ๒๐ ล้านปี ๒๙ ล้านปี แต่ละภพแต่ละชาติ พอจิตมันไปอยู่ตรงนั้น แล้วมันยังไม่หมด มันไม่มีสถานะที่จะรับแบบเขา
ถ้าคนหมดอายุขัยไปเกิดสภาวะอย่างนั้นมันรับได้เลย เพราะอะไร เพราะมันเกิด ภพมันเกิด บุญกุศลไปเกิด มันได้ผลประโยชน์ แต่ถ้าเราไม่ได้ เราเป็นส่วนเกิน พอชนชั้น ๒ ไปรออยู่ๆๆ อยู่ตรงนี้มันทุกข์ไม่ทุกข์
การทำลายตัวเอง นึกว่าจะพ้นสภาวะอันนี้ไปเพื่อจะไปหาสภาวะใหม่ มันได้สภาวะใหม่ แต่สภาวะทุกข์ไง พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า ให้ไปตามครรลองของมัน เราหาที่พึ่งที่อาศัย เราต้องหาที่พึ่งที่อาศัยตรงนี้ไง เราแสวงหาอะไร พืชพันธุ์อะไร เราหว่านไปด้วยอะไร
ทีนี้เราหว่านด้วยบุญ เรามากันนี่ วันพระ วันเสาร์ วันอาทิตย์ เขาจะไปไหนกัน เขาต้องไปพักผ่อนสิ เขาไปพักผ่อนที่ร่างกายไง แต่ความวิตกกังวล นามธรรมนั้นไม่ได้ทำลาย ไปพอกพูนเข้าไปอีก ไปพักผ่อน ไปเสียทรัพย์ ไปเสียพลังงานของใจ เราไปหาบุญกุศล ไปเพิ่มกำลังของใจ เสียทรัพย์เหมือนกัน เพราะเราต้องบุญกุศลจะเกิดขึ้นมาจากการสละ การทานก่อน นี่เสียทรัพย์เหมือนกัน
แต่เสียทรัพย์อันนี้ พระพุทธเจ้าสอนให้เสีย หาเงินมาได้ส่วนหนึ่ง ให้เก็บลงทุนไว้ส่วนหนึ่ง ให้ใช้จ่ายส่วนหนึ่ง ให้เก็บรักษาไว้ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งถึงได้ฝังดินไว้นี่ไง เราฝังดินไว้ ฝังไว้ในศาสนา คือเรามาสละออกไป เราจะฝังไว้ในศาสนา เพื่ออะไร? ก็เพื่อฆ่านามธรรม การสละออก การตระหนี่ของคน กิเลสของคนอยู่ตรงนี้ไง แล้วการสละออก ใจมันต้องคิดออก เจตนาจะมาวัด เจตนาจะมาวัด เจตนาต้องหา แสวงหาสิ่งนั้นมา นี่เจตนาวัด มันถึงใจถึงใจไง เราสละออกไปแล้วบุญกุศลเกิดขึ้น อุทิศส่วนกุศลไป
ถ้าเราไม่สละออก นึกไม่ได้ สละออกเป็นวัตถุ เวลาคิดขึ้นมามันเป็นทิพย์ สละออกไปเป็นวัตถุ แต่นามธรรมนั้นสละออกไป นี่มันเขย่าถึงใจดวงนั้น เขย่าถึงนามธรรมที่เราจะรักษามันไง นามธรรมที่อยู่ในหัวใจ ถ้ามันอยู่เฉยๆ เหมือนฝีมันปวดอยู่ บ่งไม่ออกทำอย่างไร ต้องบ่งหนองนั้นออกไปจากฝี ให้มันแตกออกไป ความปวดนั้นจะคลายไป
ความยึดมั่นถือมั่นของใจไม่เคยสละเลย แล้วมันสละไม่ได้เพราะเราไม่เป็น พระพุทธเจ้าถึงฉลาดมากไง ทำเรื่องของง่ายๆ แต่มันสะเทือนหัวใจ เรามองข้ามกันไง หญ้าปากคอก การให้ทานๆ ให้ทานเพราะว่ามันสละออกจากใจ ใจต้องคิดสละออก ใจไม่เคยคิด ไม่สละออก มันสละออกไม่ได้ ใจมันจะยึดมั่นถือมั่น ดึงไว้ไง
นี่หว่านพืชอะไร? หว่านพืชเพราะเราได้ฟังธรรม เราเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า เราได้ฟังธรรม เราเชื่อว่าการกระทำแบบนี้ การกระทำแบบนักปราชญ์ที่ว่า ทาน ศีล ภาวนา สละทานออกไปก่อน สละทานออกไป แต่มันทำไม่ได้ มันทำไม่ได้เพราะมันไม่รู้ มันไม่เข้าใจ แต่ถ้ารู้ ถ้าเข้าใจ เห็นไหม ทำจนเป็นนิสัย สละออกไป สละออกจากใจไป ใจคิดออกไป สละออกไปๆ พอสละออกไปแล้ว ออกไปเรื่อยๆๆ มันสะเทือนถึงใจตลอดๆ สละทานออกมา พอทานปุ๊บมันได้มาฟังธรรม ฟังธรรม ทาน ศีล ภาวนา
เรือไททานิคจมไปนี่ใครกู้ขึ้นมาได้ พยายามจะกู้ขึ้นมาด้วยวิทยาศาสตร์ พยายามกู้ขึ้นมาได้ ไอ้สิ่งที่จมอยู่ในหัวใจนี่ใครกู้ออกมาได้ ใครกู้ตัวเองให้พ้นจากการปกครองของกิเลสได้ โอฆะ น้ำนี่ โอฆะคือเหมือนกับภพชาติที่เราข้ามไม่ได้ไง มันปิดบังใจไว้ ใจของเราจมอยู่ในนั้น จมอยู่ในโอฆะนั้นน่ะ ใครจะกู้ขึ้นมาได้ กู้ขึ้นมาด้วยวิธีไหนน่ะ
เพราะมันไม่มีเครื่องมือ เรือที่จมไป เมื่อก่อนไม่มีสิทธิ์กู้เลย เพราะมันจมไปในทะเลน้ำแข็งด้วย แล้วมันถึงเวลาหน้ามันเป็นน้ำแข็ง เอาไม่ได้เลย ไม่มีเทคโนโลยี เหมือนกับศาสนานี้ไม่มีไง
เราอยากจะพ้นทุกข์กันแต่เราทำไม่ได้ แต่ปัจจุบันนี้มีเทคโนโลยี นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อมีศาสนา มีมัคคอริยสัจจัง นี่กู้ใจตัวเองพ้นจากโอฆะ กู้ใจตัวเอง ถ้ากู้ใจตัวเองขึ้นมาได้คนนั้นประเสริฐ คนนั้นประเสริฐนะ มันพ้นที่นามธรรมที่ว่าเมื่อกี้นี้ นามธรรมนี้มันเป็นนามธรรม แต่ถ้าเราปฏิบัติเข้าไป จิตแก้จิตไง ความเห็นของนามธรรมมันจะไปแก้ไอ้ความยึดมั่นถือมั่นของใจอันนั้นได้ ใจที่มันปิดบังไว้ ที่มันไม่มี มันไม่เคยเห็นไง แต่มัคคอริยสัจจังนี้จะเข้าไป
ทำใจให้สงบก่อน ถึงจะเป็นสมาธิได้ ทำใจให้สงบ ใจสงบต้องกำหนดพุทโธๆ หรือกำหนดอะไรก็แล้วแต่ กำหนดเข้าไป แล้วเครื่องมือมันต้องเป็นเครื่องมือที่จริง ไม่ใช่เครื่องมือเราเขียนขึ้นมา เราพยายามหาเครื่องมือ เราเขียนขึ้นมาก่อน แต่ยังไม่ได้ผลิตเครื่องมือนั้นขึ้นมา ยังไม่ได้ผลิตเครื่องมือนั้นขึ้นมานี้มันก็เหมือนกับการทำสมาธิแล้วมันเป็นสมาธิอยู่ เป็นสมาธิไม่เป็นสัมมาไง มันเข้าไม่ถึง มันเข้าไม่ได้ พอเครื่องมืออันนี้มันเป็นแค่แบบแปลน มันเป็นแค่พิมพ์เขียว มันยังไม่เป็นเครื่องมือจริง ความไม่เป็นเครื่องมือจริงมันเป็นรูปแบบ ที่ว่าเราเป็นเครื่องมือได้ เราคิดได้ สมาธิที่เครื่องมือยังไม่พอมันก็ทำไม่ได้
ถึงว่า การทำสมาธิ กำหนดเข้าไป ถ้ามันไม่เป็นตามสัมมาสมาธิ ทำไมถึงว่ามีมนต์ดำ มนต์ขาวล่ะ มนต์ดำ เวลาเป็นสมาธิขึ้นมามันใช้ไปในทางที่ผิด อันนั้นอยู่ที่เจตนาของคนใช้ เจตนานะ แต่การเข้าหาสมาธินี่กำหนดเข้าไปๆ มันหายไปเลย เห็นไหม มันตกภวังค์ก็ได้ มันเป็นไปอย่างนั้น แล้วความเห็นในสมาธินั้นน่ะ ความเห็นในสมาธินั้น การสร้างเครื่องมือนั้นต้องเหนื่อย พอเราจะสร้างเครื่องมือขึ้นมา เราต้องลงแรงงานลงไปแล้ว การทำสมาธินั้นเราก็ต้องลงแรงงานไปแล้ว แรงงานนั้นเป็นแรงงานหาเครื่องมือ แรงงานนั้นไม่ใช่แรงงานที่จะลงไปกู้เรือขึ้นมาไง
เรายังไม่สามารถกู้ใจขึ้นมาเลย เพราะเครื่องมือภายนอกเราสั่งซื้อได้ เราหาได้ เราเปรียบเทียบไง แต่เครื่องมือภายใน เห็นไหม อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน พอตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนต้องสร้างเอง มรรค ๘ นี้ตนต้องสร้างเอง มรรคหยาบๆ ที่เราทำกัน สัมมาอาชีวะ เราเลี้ยงชีพชอบ เราประกอบอาชีพชอบ เราทำความเพียรชอบ การงานของเราชอบ ถูกต้องหมดเลย นี่มรรคหยาบๆ มรรคนี้มรรคของปุถุชน แล้วพอมรรคที่เป็นปุถุชน สมาธิมันละเอียดเข้ามา ละเอียดเข้ามา จากที่เป็นนามธรรม มันจับต้องได้ไง
เราว่าเรารักตัวเอง แต่เราไม่เคยเห็นตัวเราเองเลย เราชี้สิ เราเป็นใคร ชี้เรา ชี้ไปที่ในร่างกายเรา ตรงไหนเป็นเรา สิ่งที่เป็นเรา เวลาเราไปโรงพยาบาล ถ้ามันวิการ ต้องเปลี่ยน เห็นไหม ตัดออกไปเป็นเราไหม มันเน่า มันเสีย ไม่ใช่เรา มันไม่ใช่เรา เพราะเราไม่เคยเห็นตน เพราะเราอยู่ในสมมุติทั้งหมด สมมุติขึ้นมา มนุษย์ว่าเป็นสัตว์ฉลาด สมมุติขึ้นมาให้เป็นตนไง สมมุติว่าเป็นนาย ก นาย ข แต่นาย ก นาย ข ไม่มีตัวตน
แต่ถ้าทำสมาธิเข้าไปนี่มันจับต้องได้ จากที่เป็นนามธรรม ทำไมมันจับตัวมันเองได้ล่ะ จิตนี้สงบ จิตนี้เป็นหนึ่ง จิตนี้เป็นเอกัคคตารมณ์ เห็นไหม สิ่งที่เป็นนามธรรม เราว่าเป็นนามธรรม เราว่ามันจับต้องไม่ได้กับจับต้องได้ สิ่งที่เป็นวัตถุเป็นเนื้อหนังมังสาของเรา กลับแปรสภาพตลอดเวลา สิ่งที่เป็นนามธรรมมันก็แปรสภาพ แต่สามารถทำให้เป็นเอกัคคตารมณ์ ทำให้จิตนี้เป็นหนึ่งได้ นี่จิตแก้จิต
จากที่ว่าเราแสวงหาเครื่องมือข้างนอก เราแสวงหาเครื่องมือจากข้างนอก เราอยากได้เครื่องมือเข้ามา เครื่องมืออย่างนั้นมันเป็นวัตถุที่แก้ไขวัตถุไป เครื่องมือของโลกเขา มันจะเอาโลกเขาไป แต่เครื่องมือของใจ เครื่องมือของใจมันต้องใช้ใจเข้าไป เครื่องมือของใจ เครื่องมือกู้ใจของตัวเองขึ้นมาให้พ้นจากทุกข์ มันต้องทำเครื่องมืออันนี้เข้ามา นี่คือการทำใจสงบให้เป็นสัมมา
ถ้าไม่เป็นสัมมา อันนั้นมันเป็นแค่พิมพ์เขียวที่ยังไม่ได้ทำขึ้นมา พิมพ์เขียวมันแค่พิมพ์เขียว เป็นกระดาษ เห็นไหม มันไม่สามารถจะกู้ใจขึ้นมาได้หรอก อันนั้นเป็นสมาธิเหมือนกัน แต่สมาธิที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติ การปฏิบัติที่ว่าไม่มีผู้ชี้นำจริงหนึ่ง ประสบการณ์ตรงของการเข้าไปมันต้องผิดพลาดเข้าไปก่อน
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีบารมีขนาดนั้นนะ ขนาดว่ามีบารมีพร้อม ถ้าตรัสรู้ควรจะตรัสรู้ได้เลย ทำไมไปหาอาฬารดาบส ไปหาส่งออก สมาธิที่ส่งออกไปข้างนอก สมาธิที่ว่าเป็นสมาบัติมันไม่เข้ามาหาข้างใน จนมาทำอานาปานสติ อานาปานสติแล้วหักเข้ามา ทำอานาปานสติก่อน ถึงจะค้นไปหาบุพเพนิวาสานุสติญาณ บุพเพนิวาสานุสติญาณ การส่งออก การส่งออกไป จุตูปปาตญาณ การตามไป อันนี้ยังเป็นสมาธิ
จุตูปปาตญาณก็สมาธิส่งออกไป สมาธิที่ดูเข้าไป อานาปานสติ ถึงว่า อาสวักขยญาณต่างหาก อาสวักขยญาณ ย้อนกลับมาถึงเป็นวิชชา ๓ เห็นไหม สมาธิตัวนี้ไง ถึงว่าต้องทำเข้ามา มันเป็นเครื่องมือ ใจถึงใจ ที่ว่า เครื่องมือโลกเป็นเครื่องมือโลก เครื่องมือของโลกเขามันเป็นวัตถุ มันแก้ไขวัตถุ ไม่มีเครื่องมือใดๆ ไม่มีแสงเลเซอร์ ไม่มีสิ่งใดเลยจะเข้าไปแก้ใจของผู้ปฏิบัติได้
ผู้ที่ปฏิบัติเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงว่า ถ้าทำสมาธิแล้วถึงเห็นตน ถึงรู้จักว่าเราเป็นใคร นาย ก นาย ข นี้เป็นแค่สมมุติ สมมุติอยู่ที่บัญชี อยู่ที่ทะเบียนบ้าน แต่เห็นตามความเป็นจริง เราจับเราได้ ไม่มีชื่อ ไม่มีอะไร มันเป็นภาษาใจ แล้วมันไปได้ตลอด เห็นไหม จิตนี้สงบ ถ้าจิตนี้สงบ จิตนี้เป็นสมาธิ จิตนี้เป็นเอกัคคตารมณ์
ถ้าเราได้บุญขนาดนี้ เวลาเราจะใกล้ดับขันธ์ มันจะย้อนกลับมาตรงนี้ ถ้าย้อนกลับมาตรงนี้นะ เกิดเป็นพรหม เห็นไหม จิตเราธรรมดาเรายังขึ้นไปเกิดเป็นพรหมได้ เราถึงจับต้องตัวเราได้ไง เราถึงรู้จักเรา การรู้จักเรา การจับต้องตัวเองได้ จากเป็นนามธรรมที่เราจะทำลายมัน เราทุกข์มาก เราอยากจะหลบออกไป ขณะที่ทำใจเป็นสมาธินี่มันมีความสุขขึ้นมา แล้วมันรู้ผลจริงตามนั้น มันถึงยิ่งไม่กล้าทำลายตัวเอง
คนที่ไม่เคยเห็นสมบัติมันก็ทำลายได้ แต่คนที่เคยเห็นสมบัติ เห็นเงินทองของตัวเอง จะไม่กล้าทำลายตรงนั้นเด็ดขาดเลย เงินทอง เห็นไหม แต่นี่บุญกุศลมันยิ่งกว่าเงินทอง เงินทองมันใช้ มันใช้ได้ แต่ถ้าเป็นบุญกุศลนี่มันเป็นทิพย์ไง มันส่งไปภพชาติไปเรื่อยๆ มันส่งขึ้นไปแต่ละภพแต่ละชาติขึ้นไปๆ จนเต็มได้ จนพ้นได้ พ้นออกไปจากทุกข์ทั้งหมด แต่การพ้นออกไปจากทุกข์นั้นมันต้องวิปัสสนา การวิปัสสนามันต้องเห็นกายอีกไง จากเครื่องมือเข้าไปพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม
มันถึงว่า เป็นศาสนาไง หว่านพืชออกไปอย่างไร เราหว่านอะไรออกไป เราหวังอะไร นี่เราหว่านทานก่อน เราต้องรักษาศีล เรามีศีลขึ้นมา ศีลคือเครื่องจำกัดไม่ให้ไปกระทบกับสิ่งอื่น ให้เป็นอิสระเข้ามา แล้ววิปัสสนาเข้าไปอีก วิปัสสนา พยายามทำขึ้นมาให้ได้ ทำความสงบ อาศัยความสุขในสมาธินี่มันมหาศาลแล้ว ความสุขในความสงบนี่ทำให้เรามีอยู่มีกิน มันจะไม่กล้าทำลายตัวเองเด็ดขาดเลย ถ้าคนเห็นใจของตัวเองขนาดนั้น เห็นสมบัติของเรา เห็นสมบัติความเป็นจริงที่มันมีอยู่ในใจนี่
การเกิดเป็นมนุษย์มันมีใจอยู่ในกาย มันเป็นสมบัติมหาศาล แต่เราไปมองเห็นแต่สมบัติข้างนอก ไปมองสมบัติที่อาศัยอยู่ข้างนอก เลยมองข้ามใจของตัว เวลามองข้ามใจของตัว เพราะใจมันทุกข์ นี่มันโง่ขนาดนั้นนะ ใจมันเป็นของมันเอง แล้วมันทุกข์ พอมันทุกข์นี่มันทำอะไรไม่ได้ มันคิดทำลายตัวมันเอง เห็นไหม ทั้งๆ ที่ว่าเราทำความสงบเข้าไปมันจะเห็นคุณค่าของมันเอง แล้วไม่กล้าทำลายดวงนี้
เพราะใจ ใจเป็นผู้ที่ว่า อาสเวหิ จิตฺตานิ วิมุจฺจึสูติ อาสวะสิ้นไป ใจนี้เป็นผู้รับผลของวิมุตติไง ภาชนะที่จะรับธรรมอันมหาศาลคือหัวใจนั่นน่ะ มันจะสัมผัสกับธรรมได้ แต่เราไปทำลายภาชนะที่จะสัมผัสกับธรรมเสียแล้ว แล้วเราจะเอาอะไรไปใส่ธรรมล่ะ เราจะเอาเครื่องมือไหนใส่ธรรมไป เราจะมานี่เราต้องหาถุงหาอะไรใส่ของมา หัวใจดวงเรา หัวใจของเราเป็นภาชนะที่จะสัมผัส ที่จะใส่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใส่ธรรมที่เราทำบุญกุศลมานี่ มันจะไปซับลงที่นั่น เป็นภาชนะที่ใส่ไป แล้วไปเกิดบนภพบนชั้นต่างๆ จนถึงที่สุด จิตนี้ก็ไปถึงนิพพานได้ เป็นภาชนะที่จะพ้นออกไปได้
ถึงว่า ใครจะกล้าทำลายล่ะ ไม่มีใครกล้าทำลายจิตดวงนี้ถ้าเห็นสภาวะตามความเป็นจริงนั้น เห็นสภาวะ เห็นความที่ว่ามันเป็นภาชนะที่จะใส่ของที่ประเสริฐไง เราไม่สามารถหาธรรมได้ แต่เราก็มีภาชนะใส่ธรรม ฝนจะตกมา เราต้องหาโอ่งหาไหไปรองฝน นี่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเชื่อแล้ว เราก็รักษาใจของเราเพื่อจะรับอันนี้ แต่ในเมื่อมันต้องตายไปตามกาลเวลา ตามอายุขัย ตามอายุขัยนั้นมันวาสนาของคน เพราะเราสร้างไม่ถึง มันก็มีวาสนา
แต่คนตะเกียกตะกายอยู่ เวลาจะสิ้นไปยังห่วงมาก ห่วงว่าขอให้พ้นก่อนไง เวลาจะดับขันธ์นี่ขอให้พ้นจากกิเลสก่อน จะดับขันธ์ก็ไม่ว่า แต่ถ้ายังไม่ดับขันธ์ ขอรักษาชีวิตไว้ก่อน เห็นไหม ผู้ที่จวนเจียนจะพ้นออกไปได้นี่จะรักษาไว้ อดอาหารจนกว่ามันจะตายก็ยังพยายามฝืนขึ้นมาเพื่อจะรักษาธาตุขันธ์ไว้ เพื่อจะเข้าให้ถึงจุดหมายปลายทาง
แต่นี่เรา พอมันทุกข์มันยากขึ้นมา นี่หว่านพืชอย่างใด ถ้าหว่านพืชในธรรม หวังในธรรม เราก็ต้องรักษาชีวิต แล้วรักษาชีวิตรักษาไว้แบบมีความสุข ไม่ใช่รักษาแบบมีความทุกข์ไง รักษาชีวิต รักษาหัวใจไว้เพื่อจะใส่ธรรมที่เราจะปฏิบัติของเราไปเรื่อยๆ เราจะปฏิบัติของเราไปเรื่อยๆ จนกว่าเราจะได้ธรรมอันนั้นไง ถ้าได้ธรรมอันนั้นมันก็เป็นอันว่าสิ้นสุด มันก็จบเรื่องของการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะนี้ไง
แล้วมาจากนี่แหละ มาจากเครื่องมือขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เราพบพระพุทธศาสนา เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เรามีวาสนา แล้วเรายังอยู่ในหมู่คณะของเราเข้ามาในวงของบริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ที่พระพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้ไง แล้วเราก็เป็นนักรบที่ออกมาในหมู่ของการเข้าใจในธรรมะของพระพุทธเจ้า มันสงวน
คนเราเห็นคุณค่าของศาสนานะ เห็นคุณค่าของธรรมะพระพุทธเจ้า มันจะสงวน มันจะรักษาไว้ ถึงเราทำไม่ถึงมันก็เคารพบูชา เราถึงเป็นบริษัท ๔ หนึ่งในบริษัท ๔ ที่เข้ามาถึงวงใน วงในคือเข้าใจศาสนาจริง วงนอกคือเปลือก
อยู่กันแค่ประเพณี รักษากันไปเปลือกๆ แต่วงในมันจะจรรโลงเนื้อของธรรมะ เนื้อของธรรมะ ทาน ศีล ภาวนา จะทำให้ถึงที่สุดให้ได้ พอมีทาน ศีล ภาวนา มันก็จะเป็นเครื่องมือเข้าไปถึงมัคคอริยสัจจัง มรรค ๘ จากถึงมรรคแล้วเดินมรรคขึ้นไป มันจะเข้าถึงผล อริยผลไง เป็นอริยประเพณี ประเพณีของพระอริยเจ้า
พระอริยเจ้ารักษาศาสนาไว้ละเอียดอ่อนกว่าพวกเรา เราเป็นปุถุชน แต่เราก็พยายามจะก้าวเดินเข้าไปให้ถึงตรงนั้น พระอริยเจ้าเกิดขึ้นมาจากหัวใจดวงนั้นน่ะ ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ใจดวงนั้นสัมผัสธรรม ใจดวงนั้นพลิกจากปุถุชนเป็นอริยะไปเลย แล้วจะเข้าใจศาสนา จะสงวนมาก ตั้งแต่โสดาบันขึ้นไปจะกราบพระพุทธเจ้าด้วยเต็มหัวใจ เพราะอะไร
เพราะพระพุทธเจ้าชี้ช่องทางนี้ให้มาได้ ไม่มีช่องทางนี้ ใครจะเดินมาได้ ฉะนั้น ใครจะไม่นึกถึงคุณของคนที่ชี้ช่องทางให้เรามา ใครไม่นึกถึงเจ้าของถนนหนทางนี้ให้เรามา อันนั้นถึงว่า ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วจะกราบพระพุทธเจ้าแบบเต็มหัวใจ แล้วจะเป็นผู้รักษาธรรมแบบเต็มหัวใจ
เราหว่านพืชอย่างใด เราหวังผลอะไร เราหวังผลในทาน หวังผล...(เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)